การค้าไทย-จีน ในมุมมองของ ดร.ฐณยศ โล่ห์พัฒนานนท์

23

โดย ดร.ฐณยศ โล่ห์พัฒนานนท์ นักวิจัยด้านวัฒนธรรมสัมพันธ์และความมั่นคงเอเชีย ศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อกล่าวถึงการค้าไทย-จีน คนส่วนมากมักจะให้เหตุผลสนับสนุนว่า เพราะจีนเป็นตลาดใหญ่ มีขนาดประชากรกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน การค้ากับจีนจึงไม่ต่างจากแหล่งเงินแหล่งทอง

จริง ๆ แล้วความสำคัญของการค้าไทย-จีนมีแง่มุมให้พิจารณามากกว่านั้น ประเทศไทยไม่ควรจำกัดความคิดแค่ผลประโยชน์ทางรายได้ซึ่งจะทำให้มองข้ามความจำเป็นด้านอื่น

ประการแรก การค้าไทย-จีนเป็นเครื่องมือพัฒนาความสัมพันธ์และสร้างสมดุลทางอำนาจ ไทยจึงไม่ควรมองจีนเป็นเพียงผู้ซื้อรายใหญ่ แต่ควรใช้ความสัมพันธ์ทางการค้าสร้างสะพานเชื่อมทางวัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งจีนเองก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นความยั่งยืน วัฒนธรรม การศึกษา ฯลฯ ไทยควรรู้จักใช้การค้าเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาโอกาสด้านดังกล่าวเพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ การศึกษา การแพทย์ ฯลฯ แทนที่จะมองแค่กำไรทางเศรษฐกิจระยะสั้น

การค้าไทย-จีนยังเป็นเครื่องมือสร้างสมดุลอำนาจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุคที่โลกแบ่งขั้วอำนาจชัดเจน ไทยควรมีบทบาทเป็นตัวกลางเชื่อมโยง เข้าได้กับทุกฝ่ายแทนที่จะต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่งโดยเด็ดขาด

ประการที่ถัดมา ต้องเข้าใจว่า การค้าไทย-จีนไม่ใช่การแลกเปลี่ยนสินค้า/บริการแค่กับจีน แต่มันคือโอกาสให้ไทยได้เชื่อมโยงกับเครือข่ายการค้าที่จีนได้วางไว้อย่างเป็นระบบผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) และเครือข่ายอื่น ๆ เช่น BRICS, RCEP และ Shanghai Cooperation Organization (SCO) ไทยจึงสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายเหล่านี้ในการขยายตลาดไปยังเอเชียกลาง แอฟริกา อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง โดยอาจร่วมพัฒนาโครงการที่ใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและโลจิสติกส์ของภูมิภาค

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ตลาดเอเชียกลาง (เช่น คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ฯลฯ) ที่มีการนำเข้าสินค้าผ่านจีนและรัสเซีย หากไทยเข้าไปเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ไทยอาจกลายเป็นผู้ส่งออกอาหารสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง และสินค้าเกษตรไปยังภูมิภาคเหล่านี้

ประการที่สาม เมื่อการค้าไทย-จีนมีความสำคัญ ไทยอาจพิจารณาฟื้นแนวคิด ASEAN’s Trading Station ตามโมเดลยุคอยุธยาเพื่อให้สอดรับการเชื่อมโยงตามแนวทาง BRI ของจีน ด้วยแนวคิดนี้ไทยจะสามารถพัฒนาตัวเองให้เป็น Global Connector สำหรับโลกยุคใหม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ต้องไม่ลืมว่า ในอดีตไทยเคยรุ่งเรืองในฐานะสถานีการค้าของอุษาคเนย์ อย่างในยุคอยุธยา ไทยเป็นศูนย์กลางของการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างจีน อินเดีย เปอร์เซีย ญี่ปุ่น และยุโรป แนวคิดนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในศตวรรษที่ 21 โดยลองเปลี่ยนตัวเองเป็นฮับการค้าแบบสมัยใหม่ที่เชื่อมโยงอาเซียนกับเครือข่ายการค้าจีน พัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลที่เชื่อมตลาดไทย-จีน-อาเซียน ถอดบทเรียนจากตลาดนัดจตุจักรที่มีศักยภาพในการทำการค้าให้มีชีวิตและดึงดูดผู้ใช้บริการจากทั่วโลก ไทยอาจสร้าง ASEAN Trade Fair ที่ดึงดูดนักธุรกิจและนักลงทุนจากจีนและประเทศอื่น ๆ ในลักษณะคล้ายกัน

ด้วยการวางบทบาทเช่นนี้ ไทยจะบรรลุ Soft Power ด้านการค้า สามารถดึงดูดนักลงทุนและนักเดินทางมาค้าขายในไทยมากขึ้น และช่วยเสริมส่งการเชื่อมโยงในระเบียบการค้าไทย-จีน

ประการที่สี่ กระแส Asian Wave กำลังโดดเด่น Soft Power ของไทยจึงควรมุ่งเป้าไปที่จีนและเอเชียมากกว่าที่จะวิ่งตามกระแสตะวันตก

ปัจจุบัน Asian Wave ไม่ได้มีแค่เกาหลีใต้ (K-Wave) แต่รวมถึง C-Wave (กระแสวัฒนธรรมจีน) และ J-Wave (วัฒนธรรมญี่ปุ่น) ไทยเองควรพัฒนา T-Wave (Thai Wave) ที่ใช้จุดแข็งของไทยให้เกิดประโยชน์ เช่น
● ภาพลักษณ์แห่งมิตรภาพและความน่ายินดี ซึ่งชาวจีนให้ความสนใจเสมอ
● อาหารไทย สมุนไพรไทย และนวดแผนไทย ที่เป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่จีนให้ความสำคัญ
● ละครไทย (T-Drama) และภาพยนตร์ไทย ที่เริ่มมีฐานแฟนคลับชาวจีน

แต่ที่สำคัญที่สุด ไทยต้องไม่มอง Soft Power เป็นแค่ยุทธศาสตร์ที่มุ่งหวังผลกำไร แต่ต้องสร้าง Soft Power จากความจริงใจ และให้คุณค่ากับความเป็นตัวเองมากกว่าการพยายามเลียนแบบประเทศอื่น เพราะที่ผ่านมาคนจีนให้เกียรติประเทศไทยด้วยความรักความเป็นไทยหลาย ๆ จุดที่คนไทยเองอาจจะมองข้าม อย่างชุดนักเรียน หรือ ยาหม่อง การสร้าง Soft Power ไม่ควรเป็นไปตามต้นแบบที่ไทยคลั่งไคล้ แต่ควรเป็นไปตามเหตุปัจจัยของเป้าหมายที่เราต้องการเชื่อมโยง ในกรณีนี้ก็คือจีนและเครือข่ายการค้าแวดล้อม

ไทยจึงต้องคิดให้ใหญ่กว่าการขายของให้จีน การค้าไทย-จีนควรเป็นสะพานที่เชื่อมเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน การค้าไทย-จีนจะไม่ใช่แค่การค้ากับจีน แต่เป็นการเข้าถึงเครือข่ายตลาดที่จีนมีอยู่ ไทยควรวางบทบาทเป็น Global Connector และฟื้นแนวคิด ASEAN’s Trading Station และ Soft Power ไทยต้องมุ่งเป้าสู่จีนและเอเชียโดยใช้เสน่ห์และวัฒนธรรมที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์

ถ้าไทยมองการค้าไทย-จีนในมุมนี้ เราจะไม่ได้เป็นแค่ผู้ขายสินค้าให้จีน แต่จะกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความร่วมมือในระดับโลกยุคใหม่ต่อไป