ไทยกับความท้าทายและโอกาสจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ
โดย ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล
ประธาน สถาบันวิจัยพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา บี อาร์ ไอ / นายกสมาคมการค้าการลงทุนเส้นทางสายไหมไทยจีน
ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ไม่ได้เป็นเพียงสงครามภาษี แต่เป็นการแข่งขันเพื่อชิงอำนาจทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 แม้ไทยจะไม่ได้เผชิญสงครามโดยตรง แต่ผลกระทบจากความผันผวนของห่วงโซ่อุปทาน ความไม่แน่นอนของค่าเงิน การย้ายฐานการผลิต และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ย่อมส่งผลกระทบต่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำถามสำคัญคือ “ประเทศไทยควรปรับยุทธศาสตร์อย่างไร” เพื่อลดผลกระทบเชิงลบและใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น โดยมี 8 ประเด็นสำคัญดังนี้:
- กระจายตลาดส่งออก ลดการพึ่งพามหาอำนาจ: ไทยพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนและสหรัฐฯ เกือบ 30% การผันผวนในสองประเทศนี้จึงกระทบต่อรายได้ประเทศ ไทยจึงควรมีแผนสำรองเชิงรุก โดยขยายตลาดใหม่ เช่น อาเซียน อินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เร่งเจรจาและลงนาม FTA กับกลุ่มประเทศใหม่ เช่น สหภาพยุโรป MERCOSUR หรือกลุ่มตะวันออกกลาง และพิจารณาเข้าร่วม CPTPP อย่างรอบคอบ
- ดึงดูดการลงทุนจากการย้ายฐานการผลิต: สงครามการค้าเป็นโอกาสให้ไทยดึงดูดบริษัทข้ามชาติที่ย้ายฐานการผลิต โดยเร่งส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ให้พร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย และสิทธิประโยชน์ เน้นอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก เช่น EV อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เทคโนโลยีชีวภาพ และพลังงานสะอาด รวมถึงปรับปรุงกฎหมายและขั้นตอนการอนุญาตลงทุนให้สะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส
- เสริมความแข็งแกร่งจากภายใน: เศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืนต้องพัฒนาโครงสร้างภายใน โดยสนับสนุน SMEs และ Startup ผ่านระบบนิเวศแห่งนวัตกรรม ปรับปรุงระบบภาษี การเข้าถึงเงินทุน และการส่งเสริมเทคโนโลยี รวมถึงส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดการนำเข้า และใช้ทรัพยากรในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ใช้จุดแข็งภาคเกษตรและบริการ: ยกระดับสินค้าเกษตรด้วย AgriTech และการแปรรูปตามมาตรฐานสากล พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เช่น Medical Tourism, Wellness Tourism และ Gastronomy Tourism
- จัดการความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: ธนาคารแห่งประเทศไทยควรติดตามความผันผวนของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และใช้มาตรการที่เหมาะสม รักษาเงินสำรองระหว่างประเทศให้มั่นคงเพียงพอต่อวิกฤต
- สร้างสมดุลเชิงภูมิรัฐศาสตร์: ไทยต้องวางตัวอย่างรอบคอบ เป็นกลางทางการเมือง แต่กระตือรือร้นทางเศรษฐกิจ โดยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งจีนและสหรัฐฯ มีส่วนร่วมใน BRI ของจีน ควบคู่กับการรักษาความร่วมมือกับสหรัฐฯ และผลักดันให้อาเซียนเป็นเวทีกลางในการเจรจาและสร้างเอกภาพในภูมิภาค
- เตรียมพร้อมห่วงโซ่อุปทานใหม่: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ทั้งทางบก น้ำ อากาศ และดิจิทัล ใช้เทคโนโลยี Blockchain และ AI ในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมการสร้างคลัสเตอร์อุตสาหกรรมในระดับภูมิภาคเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
- ลงทุนในทรัพยากรมนุษย์: ปฏิรูปการศึกษาสู่ระบบที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะ STEM, AI, Robotics และพลังงานสะอาด ยกระดับแรงงานด้วยโครงการ Reskill และ Upskill ให้พร้อมสำหรับอุตสาหกรรมใหม่
สรุป:
ไทยไม่สามารถควบคุมความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจได้ แต่สามารถ “ควบคุมการเติบโตของตัวเอง” ได้ โดยวางตัวอย่างเหมาะสมในยุคที่โลกเปลี่ยนผ่าน ไทยต้องเป็นกลางอย่างมีชั้นเชิง และกระตือรือร้นอย่างมีเป้าหมาย การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนั้นคือสิ่งที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ โดยเจรจาพหุภาคีกับกลุ่มประเทศอาเซียนและจีน เพื่อสร้างโอกาสและรักษาผลประโยชน์ของภูมิภาค