50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน กับ การพัฒนาความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวัฒนธรรมจีน-ไทย พร้อมเปิดตัวรายงานวิจัย เส้นทางสายไหมดิจิทัลในประเทศไทย
สถาบัน BRI Institute ร่วมกับสมาคมการค้าการลงทุนเส้นทางสายไหมไทย-จีน และศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ภายใต้หัวข้อ “การพัฒนาความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวัฒนธรรมจีน-ไทย และการเปิดตัวรายงานวิจัย เส้นทางสายไหมดิจิทัลในประเทศไทย” เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ณ ห้องออดิทอเรียม ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมีนักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้แทนภาคธุรกิจทั้งจากไทยและจีนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
งานสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรม ผ่านความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่กำลังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของทั้งสองประเทศ รายงาน “Digital Silk Road in Thailand” ที่เปิดตัวภายในงานได้เผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัลไทย–จีน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปัญญาประดิษฐ์ อีคอมเมิร์ซ คลาวด์คอมพิวติ้ง ตลอดจนการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม

พล.อ.สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน สำนักงานวิจัยแห่งชาติ กล่าวในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีนว่า “เส้นทางสายไหมได้เป็นพลังใหม่ให้กับการร่วมมือของทั้งสองประเทศ โดยคาดหวังว่าความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลจีน-ไทย จะเสริมสร้างสายสัมพันธ์แห่งการพัฒนาให้แน่นแฟ้น และ ‘ครอบครัวเดียวกันจีน-ไทย’ ด้วยการผสมผสานระหว่างนโยบายที่เข้มแข็งและความร่วมมือทางเทคโนโลยี”
นายหยาง เสี่ยวหลง ที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีแห่งมิตรภาพสีทอง 50 ปี ระหว่างจีน-ไทย ‘เส้นทางสายไหมดิจิทัล’ ยังเป็น ‘เส้นทางแห่งมิตรภาพ’ ระหว่างสองประเทศอีกด้วย ขอให้เราใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสะพานเชื่อม ส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง ขยายความร่วมมือและการพัฒนาอย่างลึกซึ้ง และร่วมมือกันส่งเสริมการสร้างชุมชนแห่งชะตากรรมร่วมกันระหว่างจีน-ไทยให้ก้าวลึกและก้าวหน้ายิ่งขึ้น”
ดร.จุฬารัตน์ ต้นประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวถึงมิติของความร่วมมือว่า “การร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างจีนและไทย นอกเหนือจากสร้างงานอาชีพ สินค้าและเนื้อหาคุณภาพสูงแล้ว ยังสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างอารยธรรมจีน-ไทย และขยายไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศในวงกว้างอีกด้วย ดิฉันหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าเพื่อประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ”
ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล ประธานสถาบันพัฒนาการศึกษาและเศรษฐกิจ บี อาร์ ไอ กล่าวว่า “ภายใต้กรอบ ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างจีน-ไทย ได้ขยายจากโครงสร้างพื้นฐานไปสู่สาขาที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประชาชน โดยไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของจีนกำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างจีน-ไทยมากขึ้น บริการการชำระเงินผ่านมือถือจากจีน เช่น WeChat Pay สามารถครอบคลุมพื้นที่ท่องเที่ยวและเขตธุรกิจหลักของประเทศไทย รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งเพิ่มความสะดวกในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ต หลังจากเปิดตัว Mini Program บน WeChat แล้ว ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนสามารถซื้อสินค้าไทยออนไลน์ได้”
ศาสตราจารย์ ดร. ซุน เจียซัน จาก สถาบันศิลปะแห่งชาติจีน กล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีในด้านวัฒนธรรมว่า “ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยี โดยปัญญาประดิษฐ์กำลังปรับโฉมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การชนกัน และการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและวัฒนธรรม เร่งการพัฒนาของอุตสาหกรรม โดยการสนับสนุนของเทคโนโลยีดิจิทัล ‘สามวัฒนธรรมรูปแบบใหม่’ ของจีน โดยซีรีส์ออนไลน์ วรรณกรรมออนไลน์ และเกมออนไลน์ กำลังขยายสู่ตลาดระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง สร้างแพลตฟอร์มสำคัญ สำหรับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ่านเนื้อหาคุณภาพให้กับผู้ใช้งานทั่วโลก รวมทั้งยังส่งเสริมวัฒนธรรมดิจิทัลที่มีเอกลักษณ์ให้กับเยาวชน”
ศาสตราจารย์ หยิ่ง ซีหมิง หัวหน้าภาควิชาการบริหารสาธารณะ สถาบันบริหารธุรกิจเทคโนโลยีปักกิ่ง กล่าวเสริมว่า “ในปัจจุบัน AI กำลังเปลี่ยนจาก ‘ความฉลาดในกล่อง’ สู่ ‘ความฉลาดในโลกจริง’ การที่องค์กรธุรกิจเป็นแรงผลักดันหลักในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ และสถานการณ์ใหม่ในวงกว้างนั้น เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เทคโนโลยีนำไปสู่ความดี นวัตกรรมเพื่อประชาชน สร้างประโยชน์แก่ประชาชน และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกได้อย่างแท้จริง ขณะนี้จีนกำลังผลักดันแคมเปญ ‘AI+’ อย่างแข็งขัน และเสนอให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกแบ่งปันประสบการณ์การพัฒนา AI เทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ และความสามารถด้านนวัตกรรมร่วมกัน ทั้งจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยต่างมีความได้เปรียบด้านตลาดผู้ใช้ขนาดใหญ่และสถานการณ์การประยุกต์ใช้ที่หลากหลาย ความร่วมมือที่ลึกซึ้งระหว่างทั้งสองฝ่ายในด้านการวิจัยพื้นฐานจะนำไปสู่ประโยชน์ที่ยั่งยืน”
คุณชมภูนุช พรหมประกาย กรรมการผู้จัดการ บ.เจแอนด์บี เอ็นตอร์ไพรส์ จำกัด ได้สะท้อนประสบการณ์จากภาคธุรกิจว่า “ในประเทศไทย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวนมากใช้ WeChat Mini Program และ WeChat Pay ในการจัดจำหน่ายสินค้าไทยสู่ตลาดจีน successfully รูปแบบการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลแบบ lightweight นี้ เหมาะสมเป็นพิเศษสำหรับผู้ประกอบการท้องถิ่นไทยในการเชื่อมต่อกับผู้บริโภค global อย่างรวดเร็ว”
ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล กล่าวสรุปปิดงานว่า “ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมดิจิทัลระหว่างไทยจีน ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดในเชิงนโยบาย แต่กำลังเกิดขึ้นจริง ทั้งในมิติของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ คลาวด์ อีคอมเมิร์ซ และนวัตกรรมดิจิทัล รวมทั้งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมดิจิทัลที่ช่วยเชื่อมโยงความเข้าใจ มิตรภาพของประชาชนทั้งสองประเทศในอนาคตต่อไป”
การนำเสนอรายงาน “เส้นทางสายไหมดิจิทัลในประเทศไทย” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล ที่เผยแพร่ในงาน ยังเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น กลุ่มผู้ประกอบการไทยกว่า 66.7% เห็นว่าผลิตภัณฑ์ AI ของจีนใช้งานได้สะดวก ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ของจีนอย่าง Huawei, Tencent และ Alibaba ได้สร้างศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย และมีผู้ใช้งานชาวไทยกว่า 74% ยืนยันว่ากำลังใช้บริการดังกล่าว โดย 59.6% มองว่าสะดวกสบาย ขณะเดียวกันบริการชำระเงินผ่านมือถือจากจีนครอบคลุมพื้นที่ท่องเที่ยวและย่านธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ สูงถึง 61% และในด้านวัฒนธรรมพบว่า แพลตฟอร์ม Douyin (TikTok) และการ์ตูนจีนมีอัตราการใช้งานในหมู่เยาวชนไทยสูงกว่า 90% รวมถึงเกมออนไลน์ชื่อดังและวรรณกรรมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจีนได้กลายเป็นเสาหลักสำคัญของความร่วมมือไทย–จีนในยุคใหม่ ที่ไม่เพียงเชื่อมโยงเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและมิตรภาพของประชาชนทั้งสองประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน














