Soft Power กับความสำเร็จการค้าไทย-จีน  

8

Soft Power กับความสำเร็จการค้าไทย-จีน

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2568 หลักสูตร ”ผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน” หรือ บทจ. รุ่น1 ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ภายใต้ความร่วมมือจากหอการค้าไทย-จีน และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย โดยมีรายการ จับจ้องมองจีน และ China Media Group ของจีน เป็นผู้ร่วมสนับสนุน ได้รับเกียรติจาก ดร.ฐณยศ โล่ห์พัฒนานนท์ นักวิจัยด้านวัฒนธรรมสัมพันธ์และความมั่นคงเอเชีย ศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ “Soft Power กับความสำเร็จการค้าไทย-จีน”  ณ รร.ดิเอมเมอรัลด์ รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

โดยในการบรรยาย ดร.ฐณยศ ได้เริ่มกล่าวถึงการค้าไทย-จีน ว่าเป็นประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายติดตามพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว การค้าไทย-จีนยังนำไปสู่ความร่วมมือทางสังคม วัฒนธรรม รวมไปถึงเทคโนโลยี อย่างไรก็ตามข่าวความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจจีนยังคงปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นความเข้าใจเศรษฐกิจจีนจากตัวตนของจีนจริง ๆ จะช่วยให้ไทยจินตนาการบทบาทตัวเองได้อย่างมั่นใจ

ซึ่งในการทำความเข้าใจเศรษฐกิจจีน ประเทศไทยไม่ควรยึดกรอบเศรษฐศาสตร์ตะวันตก เนื่องจากจีนมีระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างซึ่งผสมผสานกลไกตลาดเข้ากับการกำกับดูแลของรัฐ (state capitalism) ร่วมกับการวางโครงสร้างที่มุ่งสู่ความมั่นคงระยะยาว

ดร.ฐณยศ กล่าวต่อไปว่า ความเข้าใจอย่างแรกสุดควรเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ฉบับจีนซึ่งกำหนดลักษณะทางเศรษฐกิจและมีลักษณะพื้นฐาน 3 ประการ

ประการแรก จีนไม่ได้วัดความมั่งคั่งจากผลกำไรในตลาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ความรู้ เทคโนโลยี และทรัพยากรธรรมชาติ จีนมุ่งเน้นสะสมความมั่งคั่งในรูปแบบที่ไม่ถูกลดค่าผ่านกลไกตลาดทุนนิยม เช่น การควบคุมแร่ธาตุหายาก (rare earth metals) และการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน

ประการถัดมาว่าด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจสองชั้น (Dual Economy) โดยจีนให้ความสำคัญกับแนวทางเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยเศรษฐกิจวงนอก เชื่อมโยงกับตลาดโลกผ่านการส่งออกและการลงทุนระหว่างประเทศ กับเศรษฐกิจวงในที่เน้นการพึ่งพาตัวเอง ดังที่เห็นในนโยบาย Dual Circulation เพื่อส่งเสริมการผลิตและบริโภคภายในประเทศ โครงสร้างนี้ช่วยให้จีนมีเสถียรภาพในการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก และลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้

ประการที่สาม ระบบเศรษฐกิจของจีนไม่ได้เป็นทุนนิยมหรือสังคมนิยมอย่างแท้จริง แต่เป็นเศรษฐกิจแบบรัฐช่วยดูแล (state capitalism) ซึ่งทำให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทาง เช่น การกำหนดยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดผ่านการอุดหนุนบริษัทแห่งชาติและการกำกับตลาด

เมื่อเข้าใจได้ดังนี้ จะเห็นภาพกลยุทธ์ของจีนซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงในระเบียบโลกทางเลือก กลยุทธ์หลักคือการขยายความร่วมมือผ่านโครงสร้างพื้นฐาน (Belt and Road Initiative – BRI) ซึ่งเปิดทางให้จีนและหุ้นส่วนได้ดูแลเส้นทางโลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐาน และการเข้าถึงทรัพยากรประเทศต่าง ๆ ร่วมกันอย่างท่าเรือ ถนน และรถไฟ

กลยุทธ์อีกอย่างสัมพันธ์กับการลงทุนในทรัพยากรยุคใหม่ หากมองในรายละเอียด จะพบว่า จีนมุ่งสู่อนาคตผ่านการลงทุน AI ควอนตัมคอมพิวเตอร์ 5G เทคโนโลยีชีวภาพ และพลังงานสะอาดซึ่งเป็นรากฐานสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการบริหารทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ โดยจีนมองทรัพยากรไม่ใช่แค่วัตถุดิบ แต่เป็นฐานพลังงานและอำนาจ ตัวอย่างเช่น การสะสมแร่หายากเพื่อสร้างตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลก หรือ การลงทุนในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และพลังงานทดแทนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับยุคหลังพลังงานฟอสซิล นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมจีนให้ความสำคัญกับทรัพยากรในแอฟริกาและเอเชียใต้ โดยจีนเลือกใช้แนวทางการทูตเศรษฐกิจวัฒนธรรมไม่ใช่การใช้กำลังแบบในยุคล่าอาณานิคม

อย่างไรก็ตามควรเข้าใจว่า จีนเองก็มีปัจจัยวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบขึ้นมาจากแนวคิด Guanxi หรือ ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลและเครือข่ายทางสังคมซึ่งมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจและการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ โดยดำเนินควบคู่กับการพัฒนาตลาดภายในและเศรษฐกิจเมืองรอง

Guanxi ไม่ได้เป็นเพียงแค่การรู้จักกัน แต่เป็นความสัมพันธ์ที่สร้างบนพื้นฐานของความไว้วางใจ การให้เกียรติ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มักจะเกิดขึ้นในระยะยาวและมีความสำคัญมากกว่าสัญญาทางธุรกิจ Guanxi จึงเปรียบเสมือนเครือข่ายสังคมที่กว้างขวาง สามารถช่วยให้เข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น ข้อมูล โอกาสทางธุรกิจ หรือการสนับสนุน Guanxi มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ ฝังรากลึกในวัฒนธรรมจีนโดยเฉพาะแนวคิดลัทธิขงจื๊อที่เน้นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล อาจกล่าวได้ว่า Guanxi เป็นที่มาของการทูตแบบ Win-Win Cooperation ที่จีนพยายามนำเสนอผ่านหลายเวที

สำหรับการพัฒนาตลาดภายในและเศรษฐกิจเมืองรอง จีนใช้กลยุทธ์การกระจายความเจริญไปยังเมืองระดับสองและสามเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในและลดการพึ่งพาการส่งออก จากนั้นกระจายรายได้สู่พื้นที่ชนบทซึ่งเป็นโมเดลที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้ในการพัฒนาภูมิภาคของตนเองเพื่อให้เกิดความแกร่งในลักษณะคล้ายกัน

กล่าวได้ว่า เศรษฐศาสตร์จีนไม่ได้อิงแนวคิดทุนนิยมตะวันตก แต่เป็นระบบเศรษฐกิจแบบมุ่งเน้นความมั่นคงในระยะยาว ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน การทำความเข้าใจกลยุทธ์เศรษฐกิจจีนไม่เพียงช่วยให้ไทยสามารถวางแผนความร่วมมือได้อย่างเหมาะสม แต่ยังช่วยให้ไทยสามารถปรับตัวและพัฒนาเศรษฐกิจภายในให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

ไทยจึงควรศึกษาแนวทางของจีนเพื่อสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาตนเองและยกระดับศักยภาพของประเทศสำหรับเข้าร่วมระเบียบการค้าทางเลือก โดยเฉพาะการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ไทยสามารถพัฒนาได้เอง เช่น เทคโนโลยีสีเขียว หรือ กระทั่ง AI หรือ เน้นการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยไทยต้องรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจ เช่น จีนและสหรัฐฯ

การศึกษารูปแบบเศรษฐกิจของจีนจะช่วยให้ไทยวางแผนความร่วมมือที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ ที่สำคัญจีนกำลังเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกผ่านการลงทุนในเทคโนโลยี การจัดสรรทรัพยากร และการขยายบทบาทผ่านโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษาแนวโน้มเหล่านี้จะช่วยให้ไทยคิดและวางยุทธศาสตร์การพัฒนาในอนาคตได้อย่างเต็มศักยภาพ