ศ.ไป๋ ฉุน ชี้ “ปีกสองข้าง” แห่งพระพุทธศาสนา: สมดุลมหายาน-เถรวาทในมิติวัฒนธรรม

20

ศ.ไป๋ ฉุน ชี้ “ปีกสองข้าง” แห่งพระพุทธศาสนา: สมดุลมหายาน-เถรวาทในมิติวัฒนธรรม

ปักกิ่ง, 1 พฤษภาคม 2568 – ศาสตราจารย์ไป๋ ฉุน ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออก จากมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่ง (เป่ยว่าย) ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ปีกสองข้าง: พระพุทธศาสนาในแง่วัฒนธรรม” แก่ผู้เข้าร่วมโครงการอบรมพัฒนาทักษะผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนไทย (สบทจ.1) ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน

การบรรยายเริ่มต้นอย่างน่าสนใจด้วยการฉายวิดีโอการแสดงระบำที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดหลงเหมิน เมืองลั่วหยาง ซึ่งมีจุดเด่นคือพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์คล้ายพระนางบูเช็กเทียน จักรพรรดิหญิงองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน

ศ.ไป๋ ฉุน อธิบายว่า การนำเสนอภาพลักษณ์ดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ศาสนา แต่เป็นการสะท้อนความต้องการของพุทธศาสนิกชนในการรำลึกถึงพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับการสร้างสถูปหรือพระพุทธรูปในสมัยโบราณ นอกจากนี้ ท่านยังเน้นย้ำว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือสำคัญในการนำเสนอศิลปวัฒนธรรมโบราณให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หัวใจสำคัญของการบรรยายในครั้งนี้คือแนวคิด “ปีกสองข้าง: พระพุทธศาสนาในแง่วัฒนธรรม” ซึ่งศาสตราจารย์ไป๋ ฉุน อ้างถึงวาทะของหลวงวิจิตรวาทการ ที่เปรียบเทียบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทและมหายานเป็นเสมือน “ปีกสองข้าง” ที่ช่วยให้พระพุทธศาสนาดำเนินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ท่านยังยกตัวอย่างความผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีน เช่น ความศรัทธาในเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งมีรากฐานจากนิกายมหายาน ในขณะที่นิกายเถรวาทให้ความสำคัญกับการปฏิบัติที่เคร่งครัด

ศ.ไป๋ ฉุน ยังได้อธิบายแนวคิด “สามลัทธิกลมเกลียว” อันประกอบด้วย ลัทธิขงจื๊อ เต๋า และพุทธ โดยเปรียบเทียบแนวคิดเหล่านี้กับธุรกิจร้านค้าในอดีต กล่าวคือ “ขงจื๊อ” เปรียบเสมือนร้านข้าว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นรากฐานที่มั่นคงของสังคม “เต๋า” เปรียบเสมือนร้านขายยา ที่เน้นความสมดุลตามธรรมชาติและการปล่อยวาง และ “พุทธ” เปรียบเสมือนร้านของชำ ที่มีความหลากหลายและมีทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเศรษฐกิจและความเชื่อทางวัฒนธรรมของจีนอย่างลึกซึ้ง แนวคิดเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงศาสนาและปรัชญาเท่านั้น แต่ยังแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจของชาวจีน สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่ยังคงมีอยู่ในสังคมจีน

ในส่วนของประวัติศาสตร์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในจีน ศ.ไป๋ ฉุน ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก โดยเล่าว่า พระเจ้าอี้หมิงตี้ทรงนิมิตเห็นเทพเจ้าทองคำ และได้ส่งคณะทูตไปอัญเชิญ “คัมภีร์ 42 บท” จากดินแดนต้าเยว่จื้อ (ปัจจุบันคืออัฟกานิสถานตอนเหนือ) พร้อมด้วยพระสงฆ์ชาวอินเดีย เช่น พระกาศยปมาตังคะ และพระธรรมรัตน์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจีน

นอกจากนี้ ท่านยังได้กล่าวถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของจีน เช่น พระกุมารชีพ (ค.ศ. 344–413) นักแปลผู้มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนาในจีน โดยเป็นผู้แปลคัมภีร์สำคัญหลายฉบับ อาทิ “สัทธรรมปุณฑรีกสูตร” และ “วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร” จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “สามผู้ยิ่งใหญ่แห่งการแปล” ร่วมกับพระธรรมรัตน์และพระถังซัมจั๋ง ผู้เดินทางไปยังชมพูทวีปและนำพระธรรมกลับมาสู่จีน พร้อมทั้งจดบันทึกการเดินทางอันลือลั่นใน “จดหมายเหตุบันทึกการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกแห่งราชวงศ์ถัง”

ในช่วงท้ายของการบรรยาย ศ.ไป๋ ฉุน ได้นำเสนอหลักพื้นฐานที่แสดงถึงจุดร่วมของพระพุทธศาสนาทั้งสองนิกาย ได้แก่ การเคารพพระพุทธเจ้า การยึดมั่นในอริยสัจ 4 และแนวทางการปฏิบัติเพื่อบรรลุความหลุดพ้น แม้ว่าจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันในด้านพิธีกรรมและการปฏิบัติ แต่เป้าหมายหลักยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน คือการยึดมั่นในแก่นแท้ของพระธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นแนวทางสูงสุด

การบรรยายในครั้งนี้นอกจากจะฉายภาพให้เห็นถึงมิติทางศาสนาและวัฒนธรรมอันลึกซึ้งแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเชื่อมโยงความแตกต่างไปสู่ความเข้าใจและความปรองดองในสังคมพุทธทั่วโลก

ส่วนหนึ่งจากสไลด์บรรยาย