มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ผ่านงานศิลปะ เปิดนิทรรศการเชิงวัฒนธรรม สะท้อนพลังศิลปะข้ามกาลเวลา เล็งปูทางสู่เครือข่ายวิชาการระดับเอเชีย
วิทยาลัยนานาชาติจีน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยการเปิดงาน “International Youth Art Exchange Exhibition – Bangkok” นิทรรศการศิลปะระดับนานาชาติที่นำเสนอผลงานของเยาวชนจากทั้งสองประเทศ สะท้อนความงดงามทางวัฒนธรรมและพลังสร้างสรรค์ที่ไร้พรมแดน โดยได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร. ศิริเดช คำสุพรหม รองอธิการบดีสายงานภาคีสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นประธานเปิดงาน โดยมี ผศ.ดร.ทัณฑกานต์ ดวงรัตน์ รองอธิการบดีสายงานกิจการนักศึกษา ,อาจารย์โหยว เสียง คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีน , ผศ. กมลศิริ วงศ์หมึก คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ , Li Dawei จาก Xiamen University , Xiang Rencong จาก Hubei Institute of Fine Arts , ดร. ศุภกรณ์ ดิษฐพันธุ์ อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ตัวแทนจาก Singapore Arts College , และผู้ร่วมแสดงผลงาน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณ ชั้น 1 อาคารอธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
นิทรรศการครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2–6 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องนิทรรศการ ชั้น 2 อาคาร 5 และชั้น 1 อาคารอธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างวิทยาลัยนานาชาติจีน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ,คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ,จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , ตลอดจนมหาวิทยาลัยพันธมิตรจากจีน
นิทรรศการนี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงพลังของศิลปะในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงออกถึงมุมมองต่อโลกยุคใหม่ผ่านผลงานที่หลากหลาย พร้อมส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเชิงวัฒนธรรมและการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสองชาติ
ผศ.ดร. ศิริเดช คำสุพรหม รองอธิการบดีสายงานภาคีสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยถึงความสำคัญของการจัดนิทรรศการ International Youth Art Exchange Exhibition – Bangkok ว่า งานครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนพลังของศิลปะในการเชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างสองวัฒนธรรม พร้อมถ่ายทอดมุมมองจากศิลปินไทย–จีน สามเจเนอเรชัน ผ่านผลงานศิลปะร่วมสมัยที่หลากหลาย
“ศิลปะในนิทรรศการครั้งนี้เป็นทั้งภาพวาดและสื่อสร้างสรรค์ที่ศิลปินรุ่นต่าง ๆ ถ่ายทอดมุมมองของตนออกมาผ่านบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ทั้งยังสะท้อนแนวคิดเรื่องการข้ามพรมแดนทางวัฒนธรรมและเวลา จากอดีตสู่ปัจจุบัน ตลอดระยะเวลา 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย–จีน” ผศ.ดร. ศิริเดช กล่าว
ผศ.ดร. ศิริเดช กล่าวต่อว่า การมีส่วนร่วมของศิลปินทั้งสามรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นบุกเบิก รุ่นกลาง หรือรุ่นใหม่ ช่วยเปิดมุมมองทางศิลปะที่แตกต่างกันออกไปตามช่วงวัย สร้างความลุ่มลึกทางความคิด และชวนให้ผู้ชมได้ใคร่ครวญถึงอัตลักษณ์ร่วมและความเปลี่ยนแปลงของสังคมทั้งในไทยและจีนในยุคปัจจุบัน โดยผลงานแต่ละชิ้นมีความโดดเด่นเฉพาะตัว ทั้งในด้านเทคนิค แนวคิด และที่มาของแรงบันดาลใจ ซึ่งเมื่อผู้ชมได้สัมผัสกับเรื่องราวเบื้องหลังของงานศิลป์เหล่านี้แล้ว จะไม่เพียงได้รับความรู้เท่านั้น แต่ยังได้รับ ‘ประสบการณ์ร่วม’ ที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
นิทรรศการครั้งนี้จึงมีเป้าหมายในการเป็นพื้นที่สื่อสารที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่เพื่อแสดงผลงาน แต่ยังทำหน้าที่เป็นสะพานทางวัฒนธรรมเชื่อมต่ออดีตกับปัจจุบัน และส่งต่อสู่อนาคต ให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจถึงวิถีคิด วิถีชีวิต และมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของผู้คนในรุ่นก่อนอย่างมีชีวิตชีวา
“นี่คือพลังของศิลปะในการสร้างความสุนทรีย์ สร้างแรงบันดาลใจ และเชื่อมความเข้าใจระหว่างผู้คนจากต่างวัฒนธรรม เราหวังว่านิทรรศการในวันนี้จะบรรลุเป้าหมาย ทั้งในด้านศิลปะและความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยในประเทศไทยและมหาวิทยาลัยในประเทศจีน” ผศ.ดร. ศิริเดช กล่าวสรุป
ด้านอาจารย์โหยว เสียง คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญ เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมาได้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในหลายพื้นที่ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้านศิลปวัฒนธรรมระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศ พร้อมเปิดเวทีให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงออกทางความคิดและความสร้างสรรค์ผ่านผลงานศิลปะร่วมสมัย อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนความร่วมมือด้านศิลปศึกษาในระดับนานาชาติ เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนในอนาคต
อีกทั้งวิทยาลัยนานาชาติจีน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของศิลปะในฐานะภาษาสากลที่ไร้กำแพงวัฒนธรรม จึงได้ริเริ่มนิทรรศการนี้ขึ้น โดยเชิญชวนมหาวิทยาลัยและแกลเลอรีทั้งในไทยและจีนเข้าร่วม เพื่อสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนระหว่างเยาวชนศิลปินจากทั้งสองประเทศ โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการรวมพลังระหว่างสถาบันศิลปกรรมชั้นนำ ประกอบด้วย Xiamen University , Hubei Institute of Fine Arts, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, และ Singapore Arts College
โดยนิทรรศการประกอบด้วยผลงานมากกว่า 140 ชิ้น จากศิลปินเยาวชนรุ่นใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มสำคัญที่สะท้อนอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผ่าน 3 แนวผลงานหลัก คือ 1.กลุ่มศิลปะเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมและโบราณสถาน ที่สะท้อนภาพของชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล โดยเฉพาะกลุ่มจากมณฑลกวางตุ้ง ที่อพยพมาตั้งรกรากในไทย และได้เก็บรักษามรดกทางวัฒนธรรมไว้แม้ในขณะที่ต้นทางในจีนเริ่มเลือนหาย เช่น ภาพวาดชุมชนโบราณ อาคารไม้สถาปัตยกรรมดั้งเดิม และการแต่งกาย 2. กลุ่มศิลปะร่วมสมัยและดิจิทัล ที่ถ่ายทอดมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับวัฒนธรรม เช่น งานภาพกราฟิกดิจิทัลที่ตีความสัญลักษณ์จีนในมุมใหม่ งานวิดีโออาร์ต และแอนิเมชันที่สื่อสารแนวคิดเรื่องอัตลักษณ์และความหลากหลายทางวัฒนธรรม และ 3. กลุ่มศิลปะเชิงวิชาชีพและนวัตกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยี เช่น Blockchain และแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสร้างคุณค่าทางศิลปะใหม่
“เราต้องการให้เยาวชนมองศิลปะในมุมที่กว้างกว่าความงาม แต่เป็นเครื่องมือในการบันทึกประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดความรู้สึก และสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน” อาจารย์โหยว กล่าว
นอกจากนี้ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ยังกล่าวอีกว่า ความสำคัญของนิทรรศการครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเวทีโชว์ผลงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่เริ่มต้นของความร่วมมือทางวิชาการในระดับภูมิภาค เพราะงานในครั้งนี้เป็นเพียงก้าวแรก ทว่าจะเกิดสมาคมความร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรมไทย–จีน ที่เชื่อมโยงเครือข่ายของมหาวิทยาลัยในเอเชีย เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัย การแลกเปลี่ยนนักศึกษา และการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยผลัดเปลี่ยนกันเป็นแม่งานระหว่างกัน
อย่างไรก็ตามในวันนี้ที่เปิดนิทรรศการ มีแขกผู้มีเกียรติจากทั้งสองประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง รวมถึงศิลปินแนวหน้าระดับนานาชาติ อย่างศิลปินผู้เคยจัดแสดงผลงานในนิวยอร์กและโตเกียว ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในศิลปินภาพวาดผู้ทรงอิทธิพลของจีน รวมถึงศาสตราจารย์ ดร. ศุภกรณ์ ดิษฐพันธุ์ อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตรกรรมสีน้ำมันที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ
“การที่มหาวิทยาลัยของเราได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ คือความภาคภูมิใจ และเราหวังว่าเวทีนี้จะกลายเป็นพื้นที่บ่มเพาะศิลปินรุ่นใหม่ พร้อมสร้างสะพานเชื่อมโยงใจระหว่างสองชาติ” อาจารย์โหยว กล่าวปิดท้าย
ขณะที่หนึ่งในผลงานศิลปะที่โดดเด่นใน International Youth Art Exchange Exhibition – Bangkok คือผลงานของ นางสาวอนัญญา พาณิชย์พิศาล ศิษย์เก่าคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานฤมิตศิลป์ เอกกราฟิก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้นำเสนอภาพวาด ภายใต้ชื่อ “Forgiven” ซึ่งเป็นแนวคิดทางจิตวิญญาณผ่านงานภาพวาดสีน้ำที่สะท้อนการเยียวยาตนเองจากภายใน
นางสาวอนัญญา เผยว่า แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะคริสเตียน โดยในช่วงที่เข้ารับศาสนา เคยตั้งคำถามกับตนเองว่า “เราเป็นคนผิดหรือไม่ต่อสิ่งต่างๆ ในโลกนี้” ซึ่งคำถามนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาความเข้าใจในตัวเอง ผ่านการอ่านพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่อง จนพบข้อความหนึ่งที่ว่า “หากเราให้อภัย ผู้อื่น เราก็จะได้รับการให้อภัยเช่นกัน”
“สำหรับผลงานชิ้นนี้ ใช้เวลารังสรรค์ประมาณ 3–4 วัน โดยเลือกใช้เทคนิค สีน้ำบนกระดาษ แทนงานดิจิทัลที่คุ้นเคยเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นความท้าทายไม่น้อย ทั้งในด้านการควบคุมสื่อและเวลาในการทำงาน อีกทั้งแม้ว่าอาจารย์ที่ชักชวนให้เข้าร่วมในนิทรรศการจะไม่ได้เดินทางมาร่วมงานด้วยตนเอง แต่ก็ต้องขอขอบคุณที่ได้รับโอกาสในการถ่ายทอดผลงานซึ่งผสานทั้งศิลปะ ความเชื่อ และการเยียวยาทางใจ ในเวทีระดับนานาชาติครั้งนี้” นางสาวอนัญญา กล่าวทิ้งท้าย