วันนี้ (วันอังคารที่ 23 กันยายน 2568) เวลา 18.30 น. ดร.กำพล มหานุกูล นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน พร้อมด้วย นางสาวคันธรส หาญไชยพิบูลย์กุล ผู้อำนวยการสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย–จีน อาจารย์กอบกิจ ประดิษฐผลพานิช กรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน เข้าร่วมเป็นเกียรติและแสดงความยินดีในโอกาสวันครบรอบ 76 ปีวันคล้ายวันสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นายจางเจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย นางเหมียว ไห่เอี้ยน ภริยาเอกอัครราชทูตจีน นายอู๋ จื้ออู่ อัครราชทูต นายเจ้า เมิ่งเทา ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการการเมือง สารนิเทศและการทูตสาธารณะ นางสวี่ หลัน ที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษา ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ซึ่งนำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน ฯลฯ ณ Plenary Hall ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
นายจางเจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวในพิธีว่า ตลอดระยะเวลากว่า 76 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำหน้าที่นำพาประชาชนของจีน (จีนมี 56 ชนเผ่า) ร่วมกันสร้าง “สองปาฏิหาริย์” อันยิ่งใหญ่ ได้แก่ ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว และการรักษาเสถียรภาพทางสังคมมาอย่างยาวนาน จีนสามารถพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมและขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีด้วยตนเอง พร้อมกันนี้ยังยึดมั่นในบทบาทผู้พิทักษ์สันติภาพโลก สนับสนุนการพัฒนาร่วมกันของนานาประเทศ และยืนหยัดปกป้องระเบียบระหว่างประเทศ โดยจีนจะทำงานร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันสร้างระบบธรรมาภิบาลโลกที่ยุติธรรม และเดินหน้าไปสู่การเป็นประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ
เอกอัครราชทูตจีนยังกล่าวถึงความสัมพันธ์จีน–ไทยว่า ปีนี้นับเป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต (นับจากปี พ.ศ. 2518) ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ถือเป็น “กึ่งศตวรรษทอง” ของมิตรภาพจีน–ไทย ความสัมพันธ์ระดับผู้นำทั้งสองชาติมีความใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีกำหนดการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูงเพิ่มเติม ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันสร้างประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศอย่างชัดเจน จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยต่อเนื่อง 12 ปี และยังเป็นแหล่งลงทุนจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของไทย โครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของสองประเทศเชื่อมโยงกันแน่นแฟ้น ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวระหว่างประชาชนทั้งสองชาติก็ขยายตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ จีน–ไทยยังมีบทบาทร่วมกันในกรอบความร่วมมือพหุภาคีหลากหลายเวที
นายจางเจี้ยนเว่ย กล่าวเสริมว่า ในช่วงเวลากว่าสองเดือนที่เข้ารับตำแหน่ง ตัวท่านสัมผัสได้ถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างจีน–ไทย และคำกล่าวติดปากที่ว่า ‘จีน ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ นั้น ถือเป็นความสัตย์จริงที่อยู่ในหัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศ จีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด และพร้อมจะเป็นหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้เสมอ ผมยินดีที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนของไทย ผลักดันการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในทุกมิติ เพื่อร่วมกันสร้างประชาคมจีน–ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน (Shared future) ให้มั่นคง และเขียนบทใหม่แห่งมิตรภาพที่งดงามในอีก 50 ปีข้างหน้า
จากนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย ได้กล่าวบนเวทีว่า ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้เห็นความเจริญก้าวหน้าอย่างน่าทึ่งของจีน ตลอดจนบทบาทสำคัญที่จีนมีต่อสันติภาพ ความมั่งคั่ง และการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก คนไทยจำนวนมากมีสายใยทางวัฒนธรรมและบรรพบุรุษอพยพมาจากจีน ซึ่งเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและหยั่งรากลึกมายาวนานในประวัติศาสตร์
นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวต่อว่า ในโอกาสครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ประเทศไทยและจีนได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองหลากหลาย พร้อมทั้งขอเชิญชวนให้ชาวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวและลงทุนในประเทศไทย โดยยืนยันว่าไทยพร้อมต้อนรับด้วยไมตรีและความอบอุ่น และเชื่อมั่นว่ามิตรภาพจีน–ไทยจะไม่หยุดเพียงแค่ครึ่งศตวรรษ แต่จะดำรงอยู่อย่างยั่งยืนและมั่นคงตลอดไป
การเฉลิมฉลองครบรอบ 76 ปี วันชาติสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นงานสำคัญที่สะท้อนถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีน หากยังต่อยอดความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่สั่งสมมายาวนานในหลายมิติ ทั้งด้านการทูต เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติจากทั้งสองประเทศ ร่วมกันแสดงถึงพลังของความร่วมมือและความเชื่อมั่นในอนาคตที่เติบโตไปด้วยกัน อันเป็นการรวมพลังของทุกภาคส่วน โดยมีการพบปะแลกเปลี่ยนของผู้นำไทย-จีน ทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนการย้ำบทบาทของจีนในฐานะหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของไทย ซึ่งในปีนี้ได้ถูกสานต่อด้วยความยิ่งใหญ่และความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน